เพิ่มโทษคดี “ข่มขืน” สูงสุดเป็นประหารชีวิต
“ข่มขืนเท่ากับประหาร” กลายเป็นแฮชแท็กยอดนิยมในไทย เมื่อเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยเรื่องการกระทำชำเรา เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 และมีผลบังคับใช้ทันที โดยได้เพิ่มโทษการก่อคดีข่มขืนสูงสุดเป็น “ประหารชีวิต” ในกรณีเหยื่อถึงแก่ความตาย และแก้ไขเพิ่มเติมความหมายของคำว่า “กระทำชำเรา” ให้ครอบคลุมมากขึ้น
เสียงเรียกร้องให้เพิ่มบทลงโทษผู้กระทำผิดฐานกระทำชำเรา ข่มขืน ดังขึ้นทุกครั้งเมื่อมีข่าวหญิงหรือชาย ที่มีอำนาจต่อรองต่ำกว่าผู้กระทำต้องตกเป็นเหยื่อ ญาติของผู้เสียหายต้องการให้เกิดความเกรงกลัว ต่อการกระทำผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้ายแรงถึงขั้นที่เหยื่อต้องเสียชีวิต
ถึงแม้ว่าการปรับแก้กฎหมายการกระทำชำเราเพื่อใช้ในคดี “ข่มขืน” จะทำให้ใครหลาย ๆ คนพอใจ ที่ได้เห็นกฎหมายที่มีโทษรุนแรงขึ้นบังคับใช้ในประเทศไทย โดยหวังว่าโทษที่แรงขึ้นจะทำให้เกิดความ เกรงกลัว แต่ในส่วนของนักกฎหมายและผู้ทำงานด้านสิทธิสตรีกลับมองเห็นว่าการแก้ไขกฎหมายที่ว่า อาจเป็น “ดาบสองคม” และนำมาซึ่งการฆาตกรรมอำพรางมากขึ้นกว่าเดิม
Getty Images
น.ส. นัยนา สุภาพึ่ง ผู้อำนวยการมูลนิธิธีรนาถ กาญจนอักษร ซึ่งเป็นทนายความซึ่งทำคดีล่วงละเมิด ทางเพศมากว่า 30 ปี เห็นว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา
“การเพิ่มโทษประหารไม่ใช่คำตอบของการแก้ปัญหานี้ นอกจากนี้ยังอาจเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายเสียชีวิต เพิ่มมากขึ้น เหตุจากการฆ่าปิดปากเพื่อหนีความผิด เพราะผู้กระทำความผิดก็ย่อมเกรงกลัวต่อโทษ ตามกฎหมาย แต่พวกเขาไม่ได้เกรงกลัวที่จะกระทำความผิด” นัยนาอธิบาย
“สิ่งที่เราควรจะมีมากกว่าโทษประหารคือกฎหมายที่เอื้อให้เหยื่อรู้สึกปลอดภัยต่อการเข้ากระบวนการยุติธรรม เพราะบ้านเราไม่มีความละเอียดอ่อนด้านนี้ โดยเจ้าหน้าที่รัฐปล่อยให้หน้าที่เป็นของผู้เสียหาย ในการดำเนินเรื่องหาตำรวจหรือพบแพทย์เอง”
ขณะที่ผู้ทำงานช่วยเหลือบุคคลที่ตกเป็นเหยื่อเห็นว่าการบังคับใช้และการตีความข้อกฎหมายเป็นอุปสรรคในการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างสาสม
นายจะเด็ด เชาว์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ในฐานะนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิความ เท่าเทียมกันทางเพศ และมีประสบการณ์การช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกข่มขืนหลายรายเห็นว่า ปัญหาอยู่ที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย
“ปัญหาหลัก ๆ ของการดำเนินคดีด้านการข่มขืนกระทำชำเราในบ้านเราไม่ใช่เรื่องกฎหมาย ที่อ่อนหรือแรงไป แต่เป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายมากกว่า” นายจะเด็ดกล่าว
“ไม่ว่าจะเรื่องของการไกล่เกลี่ยคดี หรือการเจรจาเพื่อยอมความ เหตุเพียงเพราะผู้บังคับใช้กฎหมาย ไม่เข้าใจถึงปัญหาได้ดีพอ”
เขาระบุด้วยว่าค่านิยมชายเป็นใหญ่ การยึดถือความอาวุโสและอำนาจในสังคมไทย เป็นเครื่องมือที่ ฝ่ายชายนำมาใช้ต่อรองเมื่อถูกดำเนินคดี
Getty Images
“ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยคือเมื่อผู้กระทำการข่มขืนในคดีนั้นเป็นผู้ที่มีอิทธิพลหรือมีอำนาจ ก็อาจจะก่อให้เกิดมีการเจรจาต่อรองและไกล่เกลี่ยให้ผู้กระทำพ้นผิด ในหลาย ๆ ครั้งก็เกิดมาจากผู้ชาย ที่มีอำนาจมากกว่าในครอบครัวเป็นผู้กระทำเองอันเนื่องมาจากสังคมไทยมีวิธีการคิดแบบสังคมที่ชายเป็นใหญ่” นายจะเด็ดกล่าว
สาระสำคัญจากประมวลกฎหมายอาญาฉบับแก้ไขว่าด้วยเรื่องการกระทำชำเราได้เพิ่มโทษผู้ข่มขืนกระทำชำเราทั้งโทษจำคุกและปรับ ในหลายมาตราซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการใช้กำลัง ใช้อาวุธ โดยเป็นการ กระทำกับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทั้งหญิงและชาย และระวางโทษประหารชีวิตหากทำให้ถึงแก่ความตาย
ประมวลกฎหมายอาญาเรื่องความผิดเกี่ยวกับเพศ | ||
---|---|---|
มาตรา | ฉบับเดิม | ฉบับล่าสุด |
276 | ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น
ต้องระวางโทษระหว่าง 4 – 20 ปี ปรับ 8,000 – 40,000 บาท |
ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น
ต้องระวางโทษระหว่าง 4 – 20 ปี ปรับ 80,000 – 400,000 บาท |
ถ้าผู้กระทำมีอาวุธปืน หรือวัตถุระเบิด
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 – 20 ปี และปรับตั้งแต่ 30,000 – 40,000 บาท |
ถ้าผู้กระทำมีอาวุธปืน หรือวัตถุระเบิด
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 7 – 20 ปี และปรับตั้งแต่ 140,000 – 400,000 บาท |
|
277 | ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 4 – 20 ปี และปรับตั้งแต่ 8,000 – 40,000 บาท |
ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 – 20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 – 400,000 บาท |
ถ้าการกระทำความผิดเป็นการกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ 7 – 20 ปี และปรับตั้งแต่ 14,000 – 40,000 บาท หรือจำคุกตลอดชีวิต | ถ้าการกระทำความผิดเป็นการกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ 7 – 20 ปี และปรับตั้งแต่ 140,000 – 400,000 บาท หรือจำคุกตลอดชีวิต | |
ถ้าผู้กระทำมีอาวุธปืน หรือวัตถุระเบิด
ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต |
ถ้าผู้กระทำมีอาวุธปืน หรือวัตถุระเบิด
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 10 – 20 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 – 400,000 บาท หรือจำคุกตลอดชีวิต และหากใช้อาวุธ โทรมเด็กหญิง หรือเด็กชาย ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต |
|
ถ้าการกระทำความผิด เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 15 – 20 ปี และปรับตั้งแต่ 300,000 – 400,000 บาท หรือจำคุกตลอดชีวิต | ||
หากถึงแก่ความตาย ระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต และ หากผู้ใดกระทำเพื่อสนองความใคร่ของตน โดยการใช้อวัยวะเพศของตนล่วงล้ำอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของศพ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ | ||
280/1 | ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรา 276 มาตรา 277 มาตรา 278 หรือมาตรา 279 ได้บันทึกภาพหรือเสียงการกระทำชำเราหรือการกระทำอนาจารนั้นไว้ เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ หนึ่งในสาม | |
ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งภาพหรือเสียงการกระทำชำเราหรือการกระทำอนาจารที่บันทึกไว้ ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ กึ่งหนึ่ง |
ในกฎหมายที่มีการแก้ไขนี้ยังเพิ่มเติมโทษกรณีมีการบันทึกภาพหรือเสียงการกระทำชำเราหรือทำอนาจาร และมีการนำไปเผยแพร่ต่อ รวมทั้งนำไปแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วย
“สังคมไทยยังให้ความสำคัญกับเรื่องของพรหมจารีย์ เพราะฉะนั้นการมีเพศสัมพันธ์ที่เกิดการสอดใส่ เท่านั้นถึงจะถือได้ว่าเป็นการมีเพศสัมพันธ์ เพราะฉะนั้นการตีความเรื่องการข่มขืนก็เป็นกฎหมาย ที่ครอบคลุมถึงการกระทำที่ก่อโดยมนุษย์เพศชายเท่านั้น” นัยนา บอกกับบีบีซีไทยว่ากฎหมายนี้ ไม่ได้ปรับปรุงให้เข้มแข็งขึ้น แต่กำลังจะนำไทยย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นในเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ
Getty Images
เธอขยายความว่าสังคมไทยไม่ได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ว่าทำได้หลายรูปแบบ โดยไม่จำเป็นต้องเกิดการสอดใส่ และการถูกบังคับขืนใจก็ไม่ใช่เพียงการบังคับให้มีเพศสัมพันธ์เท่านั้น เพราะไม่ว่าจะเป็นการกระทำในรูปแบบใด ผู้ถูกกระทำไม่ว่าจะหญิงหรือชายจะรู้สึกอับอาย และมีความรู้สึกว่าตกเป็นเหยื่อของการข่มขืนได้
“คนที่เขียนกฎหมายขึ้นมาไม่ได้เขียนด้วยความเข้าใจและความเป็นจริงของเรื่องเพศ การมีเพศสัมพันธ์ ระหว่างกลุ่มคนที่มีเพศเดียวกันก็ถือว่าเป็นการมีเพศสัมพันธ์ถึงแม้จะไม่เกิดการสอดใส่ก็ตาม โดยผู้หญิงที่ถูกมองว่าเป็นผู้ถูกกระทำในกฎหมาย ก็สามารถเป็นผู้กระทำได้เหมือนกัน ไม่ใช่เพียงแต่เพศชายเท่านั้น” นัยนาอธิบาย
Getty Images
ขณะที่นายจะเด็ดเสริมว่าการตีความกฎหมายเรื่องการข่มขืนอาจจะไม่ครอบคลุมเรื่องการสอดใส่โดยอวัยวะอื่นหรือสิ่งอื่นนอกเหนือจากอวัยวะเพศ ที่ล้วนสร้างความอับอายและถือเป็นการข่มขืนได้เช่นกัน
“ตราบใดที่เรายังคงมองว่าการที่ผู้ชายมีแฟนเยอะ ๆ ได้ถือเป็นคนเก่ง และการที่ผู้หญิงถูกกระทำทางเพศ เป็นเรื่องน่าอับอาย ไม่ว่ากฎหมายจะแรงแค่ไหนก็จะแก้ปัญหานี้ไม่ได้ คนที่มีอิทธิพลในสังคม หรือในครอบครัวก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของปัญหา สิ่งที่น่าจะต้องปรับมากกว่ากฎหมายนั่นก็คือทัศนคติ ของคนไทยมากกว่า” นายจะเด็ดอธิบาย