คดีอาญา ได้แก่ คดีที่เกี่ยวกับความผิดและโทษซึ่งกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่น เช่น พระราชบัญญัติต่างๆ ซึ่งมีโทษในทางอาญา
โทษทางอาญา มี 5 สถาน ได้แก่ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน
ในคดีอาญา มีบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ดังนี้
โดยปกติคดีอาญาจะเริ่มจากการที่ผู้เสียหายแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจโดยกล่าวหาว่ามีผู้กระทำผิด และการกระทำนั้นเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ซึ่งการกล่าวหานั้น ผู้เสียหายมีเจตนาให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ (เรียกว่า คำร้องทุกข์)
เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจรับแจ้งเหตุแล้วจะสืบสวนและสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจัดทำเป็นสำนวนคดี
เมื่อพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จก็จะสรุปสำนวนการสอบสวน แล้วมีความคิดเห็นทางใดทางหนึ่งประกอบสำนวน
ในบางกรณีผู้เสียหายจะเลือกฟ้องคดีต่อศาลเองโดยตรงก็ได้
การประกันตัวในชั้นศาลมี 2 ช่วง
ช่วงแรก เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการนำตัวผู้ต้องหามาขอฝากขังต่อศาลและศาลอนุญาตให้ขัง ซึ่งถือว่าผู้ต้องหาอยู่ในอำนาจควบคุมของศาลแล้ว
ช่วงที่สอง ช่วงที่ศาลประทับฟ้องของโจทก์ ผู้ต้องหามีสถานะเป็นจำเลยซึ่งต้องถูกควบคุมตัวอยู่ในอำนาจของศาล
ดังนั้น หากผู้ประกันประสงค์จะขอให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา หรือ จำเลยก็จะต้องยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างสอบสวนหรือระหว่างพิจารณา แล้วแต่กรณี
กำหนดเวลาที่ศาลอนุญาตให้ประกัน ดังนี้
ชั้นสอบสวน มีกำหนดเวลาเท่ากับระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้ฝากขังจนกระทั่งมีการฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี
ชั้นพิจารณาของศาล สัญญาประกันใช้ได้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
เมื่อผู้ต้องหาหรือจำเลยถูกควบคุมตัวโดยศาล ผู้ประกันสามารยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวโดยใช้หลักประกัน คือ การใช้หลักทรัพย์เป็นประกัน หรือ การใช้บุคคลเป็นประกัน
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการขอประกันตัว ควรสอบถามเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของศาลเท่านั้น
1. ฟ้องที่ศาลใด
พิจารณาว่าความผิดเกิดขึ้นในเขตศาลใด หรือจำเลยมีที่อยู่ หรือถูกจับในเขตศาลใด หรือพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนในเขตศาลใด ศาลนั้นมีอำนาจพิจารณาคดี
2. คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
คือ คดีที่การกระทำผิดอาญาเป็นเหตุให้ผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย หรือค่าทดแทน หรือเรียกให้คืน หรือใช้ราคาทรัพย์ที่ผู้เสียหายต้องเสียไปจาการกระทำผิดอาญานั้น จะฟ้องจำเลยต่อศาลซึ่งพิจารณาคดีอาญา โดยมีคำขอส่วนแพ่งรวมอยู่ในคำฟ้องอาญา
3. วิธีการอ่านคำฟ้อง เมื่อได้รับสำเนาคดีคำฟ้อง ควรตรวจดูคำฟ้องดังนี้
4. ข้อควรปฎิบัติเมื่อศาลประทับฟ้อง หากจำเลยจะสู้คดีควรปฎิบัติ ดังนี้
5. ชั้นพิจารณาคดี
โจทก์มีหน้าที่ต้องมาศาลทุกนัด หากไม่มา ศาลต้องยกฟ้อง เว้นแต่ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่มาศาลโดยมีเหตุอันสมควร ศาลจะสั่งเลื่อนคดีไปก็ได้ หากจำเลยไม่มาศาลตามกำหนดนัดหรือตามหมายเรียก (กรณีจำเลยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว) ศาลจะออกหมายจับจำเลยและปรับนายประกันในทางปฏิบัติแล้วหากศาลไม่แน่ใจว่าจะจับจำเลยได้เมื่อใดก็จะจำหน่ายคดีชั่วคราว จนกว่าจะได้ตัวจำเลยมาพิจารณาคดีต่อไป
การสืบพยาน
คดีอาญาโจทก์มีหน้าที่ต้องนำพยานเข้าสืบก่อนจำเลยเสมอ และเมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จแล้ว จำเลยจึงนำพยานเข้าสืบต่อไป ก่อนสืบพยานโจทก์และจำเลยมีสิทธิแถลงเปิดคดี และหลังสืบพยานเสร็จแล้วโจทก์และจำเลยมีสิทธิแถลงปิดคดีได้
ในระหว่างพิจารณา ถ้าศาลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสืบพยานหรือทำการอะไรอีก จะสั่งงดพยานหรือการนั้นเสียก็ได้
คำพิพากษาของศาลอาจแยกเป็นพิพากษายกฟ้อง หรือพิพากษาลงโทษ
โทษที่ศาลพิพากษา คือ
คำพิพากษาของศาลจะทำเป็นหนังสือ ยกเว้นในศาลแขวง คำพิพากษาจะทำด้วยวาจาก็ได้ โดยบันทึกไว้พอได้ใจความ
จำเลยจะต้องมาฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งตามวันเวลาที่ศาลนัด ถ้าจำเลยไม่มาและศาลมีเหตุสงสัยว่าจำเลยจะหลบหนีหรือจงใจไม่มาศาลศาลจะออกหมายจับจำเลย ถ้ายังไม่ได้ตัวจำเลยมาศาลภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันออกหมายจับ ศาลอาจอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นลับหลังจำเลยได้โดยถือวาจำเลยได้ฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นแล้ว
1. เมื่อศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาให้คู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์หรือฎีกาฟัง หากยื่นไม่ทันภายในกำหนดอาจยื่นคำร้องขอขยายระยะอุทธรณ์หรือฎีกาได้ แต่ต้องยื่นคำร้องก่อนสิ้นสุดระยะเวลาอุทธรณ์หรือฎีกาและต้องอ้างเหตุที่ยื่นไม่ทันภายในกำหนด
2. การยื่นอุทธรณ์หรือฎีกา ทำได้โดยยื่นคำฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกาต่อศาลชั้นต้นที่พิจารณาพิพากษาคดี
3. กรณีจำเลยที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ จำเลยอาจยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาต่อพัสดีภายในกำหนดอายุอุทธรณ์หรือฎีกา เพื่อให้พัสดีส่งไปยังศาลก็ได้
4. กรณีที่ศาลส่งสำเนาอุทธรณ์หรือสำเนาฎีกา ให้แก่ คู่ความอีกฝ่ายไม่ได้ เช่น ตัวไม่พบ หรือหลบหนี หรือจงใจไม่รับ ศาลชั้นต้นจะส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป
5. เมื่อศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยหากเป็นคดีที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์หรือฎีกาและจำเลยประสงค์จะขอให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์หรือฎีกาก็ได้
6. เนื้อหาฟ้องอุทธรณ์จะมีรายละเอียดว่าเป็นคดีประเภทใด ใครเป็นคู่ความ ใครเป็นผู้อุทธรณ์ ฟ้องเพื่ออะไร จำเลยให้การว่าอย่างไร ข้อเท็จจริงในทางพิจารณามีอย่างไร ศาลชั้นต้นตัดสินอย่างไร ผู้อุทธรณ์ไม่เห็นด้วยและโต้แย้งคำพิพากษาในประเด็นใดพร้อมด้วยเหตุผลและคำขอท้ายอุทธรณ์ เช่น ขอให้กลับหรือแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ชื่อผู้เรียง ผู้พิมพ์ และลายมือชื่อผู้อุทธรณ์
7. หากศาลชั้นต้นเห็นว่าอุทธรณ์มีข้อความที่ต้องแก้ไข ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งคืนคำฟ้องอุทธรณ์ให้ผู้อุทธรณ์นำกลับไปแก้ไขภายในเวลาที่กำหนด แต่หากศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นคดีที่ต้องหาอุทธรณ์หรือยื่นเกินกำหนด ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับอุทธรณ์
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ภายใน 15 วัน นับแต่ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเช่นใดแล้วถือว่าคำสั่งนั้นเป็นที่สุด
8. ในชั้นอุทธรณ์ คดีที่มีอัตราโทษอย่างสูงให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ เว้นแต่
- ศาลพิพากษาให้จำคุก หรือกักขังแทนโทษจำคุก
- ศาลพิพากษาให้จำคุก แต่ให้รอการลงโทษ
- ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด แต่รอกำหนดโทษ
- ศาลลงโทษปรับจำเลยเกิน 1,000 บาท
- ผู้พิพากษาที่พิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษา หรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลอุทธรณ์ควรวินิจฉัยและอนุญาตให้อุทธรณ์ หรืออัยการสูงสุดหรือพนักงานอัยการซึ่งอัยการสูงสุดมอบหมายรับรองให้อุทธรณ์
9. ในชั้นฎีกา มีข้อห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คือ
1. ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น หรือแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี หรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จำคุกไม่เกิน 5 ปี ห้ามโจทก์และจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
2. ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น หรือแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี ไม่ว่ามีโทษอื่นหรือไม่ ห้ามโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
3. ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลอุทธรณ์คงลงโทษไม่เกินกว่านี้ ห้ามโจทก์และจำเลยฏีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เว้นแต่ ศาลอุทธรณ์แก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย จำเลยมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
คดีที่ต้องห้ามฎีกาข้างต้น ผู้อุทธรณ์อาจยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีหรือที่ลงชื่อในคำพิพากษา หรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา หรือขอให้อัยการสูงสุดรับรองฎีกาได้แต่ต้องเป็นปัญหาสำคัญที่สมควรที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัย
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างยกฟ้องโจทก์ คู่ความจะฎีกาอีกไม่ได้
10. เมื่อคดีถึงที่สุด จำเลยหรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องมีสิทธิยื่นเรื่องราวต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพื่อขอรับพระราชทายอภัยโทษ ถ้าหากจำเลยต้องจำคุกอยู่ในเรือนจำ จะยื่นต่อพัสดีหรือผู้บัญชาการเรือนจำก็ได้
จำเลยที่ต้องโทษประหารชีวิต จะทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องราวได้เพียงครั้งเดียวภายในกำหนด 60 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษา ส่วนโทษอื่นจะยื่นทูลเกล้าฯ เมื่อใดก็ได้ แต่ถ้าถูกยก จะยื่นใหม่อีกไม่ได้จนกว่าจะพ้น 2 ปี นับแต่วันที่ถูกยกครั้งก่อน
คดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว คู่กรณีสามารถตกลงไม่เอาความกันได้ซึ่งมีผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับ โดยอาจตกลงกันในชั้นพนักงานสอบสวน หรือเมื่อฟ้องคดีต่อศาลแล้ว โดยไม่จำกัดให้กระทำในศาลเท่านั้น ผู้เสียหายกับจำเลยอาจทำความตกลงกันนอกศาลหรือผู้เสียหายขอถอนคำร้องทุกข์แล้วมาแถลงให้ศาลทราบก็ได้ ซึ่งศาลจะได้จำไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่าผู้เสียหายกับจำเลยทำความตกลงกันได้และไม่เอาความกันอีกต่อไป หรือผู้เสียหายขอถอนคำร้องทุกข์เสีย ซึ่งทำให้สิทธิของโจทก์ที่นำคดีมาฟ้องระงับไปและศาลจะให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความเป็นต้น
แม้อยู่ในระหว่างอุทธรณ์หรือฎีกา ถ้ามีการยอมความหรือผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาก็ต้องสั่งจำหน่ายคดี
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ที่ยอมความได้ เช่น หมิ่นประมาทม, โกงเจ้าหนี้, พาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร, ยักยอก เป็นต้น
เมื่อศาลพิพากษาให้ริบของกลางที่ใช้ในการกระทำผิดแล้ว เจ้าของทรัพย์ซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด อาจยื่นคำร้อง ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ขอให้ศาลสั่งคืนของกลางได้ ศาลจะนัดไต่สวนโดยผู้ร้องและโจทก์ (หากจะคัดค้าน) ต้องนำพยานเข้าสืบ เมื่อสืบพยานเสร็จศาลจึงจะมีคำสั่งว่าให้คืนของกลางให้ผู้ร้องหรือไม่
หากปรากฎตามคำพิพากษาของศาลที่รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ว่าบุคคลนั้นมิได้เป็นผู้กระทำความผิด บุคคลนั้นหรือทายาทย่อมมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายตามสมควร ตลอดจนบรรดาสิทธิที่เสียไป เพราะผลแห่งคำพิพากษานั้นคืน
คดีได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้บุคคลต้องรับโทษทางอาญาแล้วอาจมีการร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้ หากมีเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้
1. พยานบุคคลซึ่งศาลได้อาศัยเป็นหลักในการพิจารณาพิพากษาคดีได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในภายหลังว่าเบิกความเท็จ หรือไม่ถูกต้องตามความจริง
2. พยานหลักฐานอื่น ซึ่งศาลได้อาศัยเป็นหลักในการพิจารณาพิพากษาคดี ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในภายหลังว่าเป็นพยานหลักฐานปลอมหรือเป็นเท็จหรือไม่ถูกต้องตรงกับความจริง
3. มีหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดี ซึ่งถ้าได้นำมาสืบในคดีที่ถึงที่สุดจะแสดงว่าบุคคลที่ได้รับโทษทางอาญานั้นไม่ได้กระทำผิด
ผู้เสียหายในคดีอาญา หมายถึง ผู้ที่ได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต หรือร่างกาย หรือจิตใจ เนื่องจากการกระทำความผิดทางอาญาของผู้อื่นและตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยกับการกระทำความผิดนั้น เช่น ความผิดฐานทำให้แท้งลูก, ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เป็นต้น
ค่าตอบแทนที่ผู้เสียหายจะได้รับ ดังนี้
- ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาพยาบาล รวมทั้งค่าฟื้นฟูสมรรณภาพทางร่างกายและจิตใจ
- ค่าตอบแทนในกรณีที่ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย
- ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ
- ค่าตอบแทนความเสียหายอื่น
วิธีการยื่นคำขอรับสิทธิ
ผู้มีสิทธิยื่นคำขอ ต้องยื่นคำขอต่อคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ณ สำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา อาคารกระทรวงยุติธรรมเลขที่ 99 หมู่ 4 ชั้น 25 ถนนแจ้งวัฒนะ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี รหัสไปรษณีย์ 11120 โทรศัพท์ 0 2502 6500, 0 2502 6539
1. ในกรณีผู้เสียหาย ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหายได้รู้ถึงการกระทำผิด
2. ในกรณีจำเลย ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องเพราะปรากฎหลักฐานชัดเจนว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิด หรือวันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีนั้นว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิด หรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดแล้วแต่กรณี
ผู้มีสิทธิยื่นคำขอ
1. ผู้เสียหาย
2. ทายาทซึ่งได้รับความเสียหายกรณีที่ผู้เสียหายหรือจำเลยถึงแก่ความตายก่อนที่จะได้รับค่าตอบแทน ค่าทดแทน หรือค่าใช้จ่าย
3. ผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้อนุบาล บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา กรณีผู้เสียหาย หรือจำเลย หรือทายาทซึ่งได้รับความเสียหายเป็นผู้ไร้ความสามารถหรือไม่สามารถยื่นคำร้องด้วยตนเองได้
4. บุคคลซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นหนังสือจากผู้เสียหาย จำเลย หรือทายาทซึ่งได้รับความเสียหาย ให้เป็นผู้ยื่นคำขอแทน
จำเลยในคดีอาญา หมายถึง จำเลยในคดีอาญาที่ถูกดำเนินคดีโดยพนักงานอัยการ ถูกคุมขังในระหว่างการพิจารณาคดี และปรากฎหลักฐานชัดเจนว่า จำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิดและมีการถอนฟ้องในระหว่างดำเนินคดี หรือปรากฎตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดในคดีนั้นว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิด
ค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายที่จำเลยจะได้รับ ดังนี้
- ค่าทดแทนการถูกคุมขัง คำนวณจจากจำนวนวันที่ถูกคุมขังในอัตราที่กำหนดไว้สำหรับการกักขังแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา
- ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาพยาบาล รวมทั้งค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ หากความเจ็นป่วยของจำเลยเป็นผลโดยตรงจากการถูกดำเนินคดี
- ค่าทดแทนในกรณีที่จำเลยถึงแก่ความตายและความตายนั้นเป็นผลโดยตรงจากการถูกดำเนินคดีจำนวนไม่เกินที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
- ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ระหว่างถูกดำเนินคดี
- ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินคดี
วิธีการยื่นคำขอรับสิทธิ
ผู้มีสิทธิยื่นคำขอ ต้องยื่นคำขอต่อคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ณ สำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา อาคารกระทรวงยุติธรรมเลขที่ 99 หมู่ 4 ชั้น 25 ถนนแจ้งวัฒนะ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี รหัสไปรษณีย์ 11120 โทรศัพท์ 0 2502 6500, 0 2502 6539
1. ในกรณีผู้เสียหาย ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหายได้รู้ถึงการกระทำผิด
2. ในกรณีจำเลย ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องเพราะปรากฎหลักฐานชัดเจนว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิด หรือวันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีนั้นว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิด หรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดแล้วแต่กรณี
ผู้มีสิทธิยื่นคำขอ
1. ผู้เสียหาย
2. ทายาทซึ่งได้รับความเสียหายกรณีที่ผู้เสียหายหรือจำเลยถึงแก่ความตายก่อนที่จะได้รับค่าตอบแทน ค่าทดแทน หรือค่าใช้จ่าย
3. ผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้อนุบาล บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา กรณีผู้เสียหาย หรือจำเลย หรือทายาทซึ่งได้รับความเสียหายเป็นผู้ไร้ความสามารถหรือไม่สามารถยื่นคำร้องด้วยตนเองได้
4. บุคคลซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นหนังสือจากผู้เสียหาย จำเลย หรือทายาทซึ่งได้รับความเสียหาย ให้เป็นผู้ยื่นคำขอแทน
ความรู้เกี่ยวกับการคุมประพฤติ
การคุมความประพฤติเป็นมาตรการทางกฎหมายที่ศาลให้โอกาสผู้กระทำความผิดที่ศาลรอการลงโทษโดยสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้ภายใต้เงื่อนไขในการควบคุมความประพฤติ ซึ่งมีพนักงานคุมความประพฤติเป็นผู้สอดส่องดูแลให้บุคคลนั้นกลับตนเป็นพลเมืองดีไม่หวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำอีก
การคุมความประพฤติแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้
1. การสืบเสาะและพินิจ
เป็นขั้นตอนก่อนศาลพิพากษาคดี โดยศาลมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติดำเนินการรวบรวมข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับจำเลยตลอดจนสภาพความผิดและพฤติการณ์แห่งคดีซึ่งจะนำมาประมวลวิเคราะห์และรายงานต่อศาล เพื่อที่จะใช้ประกอบดุลยพินิจในการพิจารณาว่าจะพิพากษาลงโทษจำเลยสถานใดหรือสมควรจะใช้วิธีการคุมความประพฤติหรือไม่
2. การควบคุมและสอดส่อง
เป็นขั้นตอนภายหลังศาลพิพากษาให้คุมความประพฤติจำเลยแล้ว โดยให้พนักงานคุมประพฤติเป็นผู้คอยช่วยเหลือ แนะนำ ตักเตือนในเรื่องนิสัยความประพฤติ การประกอบอาชีพและอื่นๆ เพื่อให้จำเลยมีโอกาสและปรับปรุงตนเองให้เป็นพลเมืองดีต่อไป
การคุมประพฤติเด็กและเยาวชนเมื่อศาลมีคำพิพากษา
ศาลเยาวชนและครอบครัวมีอำนาจพิพากษาลงโทษหรือวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น เช่น ปรับ จำคุก ว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวไปโดยมอบเด็กหรือเยาวชนให้บิดามารดาหรือผู้ปกครอง หรือกำหนดเงื่อนไขคุมประพฤติไว้ด้วย หรือส่งตัวเด็กและเยาวชนไปไว้ในสถานฝึกและอบรม และมีอำนาจใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนแทนการลงโทษอาญาหรือวิธีการเพื่อความปลอดภัย เช่น เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวไปเข้ารับการฝึกและอบรมเป็นเวลาตามที่ศาลกำหนด แต่ไม่ให้เกินกว่าผู้นั้นมีอายุครบ 24 ปีบริบูรณ์ รวมทั้งทีอำนาจสั่งรอการกำหนดโทษ หรือรอการลงโทษเด็กหรือเยาวชน แม้ว่าเด็กหรือเยาวชนเคยถูกศาลพิพากษาว่าได้กระทำความผิดมาแล้ว